เป็นเวลายาวนานกว่า 4,000 ปีมาแล้ว ที่มนุษย์ชาติได้ล่วงรู้ความลับน่ามหัศจรรย์ที่ซุกซ่อนอยู่ในพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “โสม” ซึ่งคงไม่เกินเลยแต่อย่างใดที่เราจะกล่าวว่า โสมคือยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณครอบจักรวาลอย่างที่สุด เนื่องเพราะตั้งแต่มันถูกค้นพบมนุษย์ก็ได้นำโสมมาใช้สร้างคุณค่าแก่ร่างกายอย่างคุ้มค่าเหลือคณานับ โสมมีคุณสมบัติเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ ทั้งยังช่วยป้องกันและรักษาโรคได้หลายหลากอย่างน่าทึ่ง...
เทือกเขาสูงแถบตอนเหนือของแผ่นดินจีน ตอนบนของเกาหลี ประเทศรัสเซียด้านตะวันออก รวมไปถึงบางพื้นที่ในทวีปอเมริกาเหนือ คือแหล่งกำเนิดที่สำคัญของโสม หากแต่ ณ ปัจจุบันโสมในธรรมชาติกลับแทบไม่หลงเหลืออีกแล้ว ประเทศเหล่านี้ได้กลายสถานะมาเป็นยักษ์ใหญ่ในการเพราะปลูกโสมชั้นดีเพื่อเป็นสินค้าส่งออกแทน ตลาดซื้อขายโสมกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยความคึกคักโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เยอรมัน และสวีเดน ถือเป็นประเทศที่มีการใช้สอยและซื้อขายโสมอย่างกว้างขวางที่สุด
เมื่อมองย้อนไปสู่อดีตหลายพันปีบรรพบุรุษจีนคือชาติพันธุ์แรกที่นำสมุนไพรชนิดนี้มาใช้ประโยชน์
จากนั้นได้มีหลักฐานบันทึกถึงโสมเป็นครั้งแรกสมัยราชวงศ์ฮั่นปรากฏอยู่ในตำราแพทย์จีน หรือ “Chinese Materria Medica” ปัจจุบันสรรพคุณทางยาของโสมได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแถบเอเชียอันได้แก่ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ทั้งยังถูกนำไปเป็นส่วนประกอบของยาในหลายต่อหลายประเทศแถบยุโรปอีกด้วย
โสมเป็นพืชโตช้าเมื่อโตเต็มที่อาจมีความสูงเพียง 50 เซนติเมตรเท่านั้น มีจำนวนใบไม่มาก และต้องมีอายุอย่างต่ำ 4 -5 ปีจึงจะขุดมาขายได้
ภายในโสมมีสารที่เป็นองค์ประกอบสำคัญคือ ซัปโนนิน (Saponins) ซึ่ง Active Component ที่อยู่ในซัปโนนินนั้นจะมีสารจินเซนโนซาน (Ginsenosides) ที่ใช้เป็นตัววัดคุณภาพโสม สารตัวนี้มีความคงที่เป็นอย่างมาก แม้แต่ในโสมที่ถูกเก็บไว้นานถึง 1,000 ปีก็ยังสามารถตรวจพบสารชนิดนี้ได้ นอกจากนี้โสมก็ยังอุดมไปด้วยสารอีกหลากหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ อาทิ อัลคาลอยด์ Phenols กรดอะมิโน Polypeptides รวมทั้งโปรตีน.. แวดวงวิชาการในปัจจุบันจัดแบ่งโสมออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ โสมเอเชีย (Panax Ginseng) อยู่ในวงศ์ Araliaceae ซึ่งแบ่งเป็นโสมแดงและโสมขาว โสมแดง เป็นโสมที่ถูกนำไปอบด้วยไอน้ำ ณ อุณหภูมิ 100 องศา เป็นระยะเวลา 2-3 ชั่วโมง ก่อนจะนำไปตากแห้ง ซึ่งจะทำให้เนื้อโสมเปลี่ยนเป็นสีแดง ส่วนโสมขาวคือโสมที่ถูกนำไปตากแห้งธรรมดานั้นเอง ถัดมาคือโสมไซบีเรียน (Eleutherococcus Maxim.,) อยู่ในวงศ์ Araliaceae ซึ่งมีการใช้ประโยชน์มานานกว่า 2,000 ปีแล้ว แต่ในความจริงไซบีเรียนไม่ใช่โสมเพียงแต่มีคุณสมบัติบางอย่างที่คล้ายคลึงโสมเท่านั้น ส่วนประเภทสุดท้ายคือ โสมอเมริกัน (Panax Quinquefolius L.) ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ Araliaceae
สรรพคุณต่างๆที่มีอยู่ในโสมนับว่ามากมายมหาศาลจนสมควรยกให้เป็นยาครอบจักรวาลอย่างแท้จริง..โสมมีสรรพคุณฟื้นฟูและเพิ่มสมรรถภาพโดยเป็นตัวปรับสมดุลในร่างกายให้ทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น จากการศึกษาของ Le Gal ในปี 1996 โดยให้กลุ่มตัวอย่าง 232 คนทานโสม พบว่าพวกเขามีความเหนื่อยล้าลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ทานยาหลอก Placebo โสมช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย จากการศึกษาของ Scaglione et al ในปี 1996 โดยทดลองให้โสมสกัดกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 227 คนเป็นระยะเวลา 3 เดือนพบว่ากลุ่มที่ทานโสมจะเป็นหวัดน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ทาน.. โสมยังมีคุณสมบัติปลดปล่อย “ไนตริกออกไซด์”ซึ่งทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัวส่งผลให้โลหิตเกิดการไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น ช่วยรักษาความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ และเป็นตัวกระตุ้นให้มีการสร้างอินซูลินในร่างกายเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
ด้านระบบสืบพันธุ์โสมช่วยรักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ ในปี 1996 Salvati et al., ได้ทำการทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 60 คนโดยให้ทานโสมสกัดติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน พบว่ามีการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและการเคลื่อนไหวของอสุจิรวมทั้งฮอร์โมน Testosterone และ DHT ส่วนโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งก็มีการทดลองในปี 1998 โดย Yun และ Choi โดยทำกับกลุ่มตัวอย่าง 4,587 คน เป็นระยะเวลา 5 ปี พบว่ามีความสัมพันธ์ของกลุ่มคนที่ทานโสมกับการลดลงของอัตราการตายจากมะเร็งสูงถึง 60% ทีเดียว
นอกจากนี้แล้วโสมยังมีสรรพคุณส่งเสริมการทำงานของระบบประสาททั้งในเรื่องความจำและสมาธิ ช่วยชะลอความแก่ และลดความเครียดให้เราได้อีกด้วย
ที่กล่าวมานี้คือสรรพคุณทางยาที่น่าอัศจรรย์ที่ทำให้วงการแพทย์และผู้คนทั้งหลายยอมรับโสมกันโดยดุษฎีว่านี่คือพืชสมุนไพรที่มีคุณูปการต่อมนุษย์อย่างอเนกอนันต์จริงแท้..
เอื้อเฟื้อข้อมูล... คุณกิติวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์, Bio Panax Development (Thailand) Co.,Ltd
ที่มา :
http://www.ego.co.th/2006/health01.php