ตัวการทำหุ้นตกและบาทอ่อน
จากต้นปีที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทย SET Index มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นมาตลอด เคียงคู่ไปกับขาบาทที่แข็งค่าขึ้นด้วย เพราะเงินทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาแลกเงินบาทเพื่อซื้อหุ้นไทยของบริษัทใหญ่ๆ อย่างกลุ่ม ปตท. และธนาคารใหญ่ๆ มาตลอด
จนเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมปีนี้ที่ซับไพร์มมาเริ่มเป็นข่าวใหญ่ กองทุนต่างชาติที่ขาดสภาพคล่องจากการขาดทุนในตราสารซับไพร์ม อีกทั้งยังต้องหาเงินสดสภาพคล่องไปรองรับนักลงทุนที่ไถ่ถอนเงินคืน จึงต้องขายหุ้นออกไป ทำให้ราคาหุ้นและ SET Index ดิ่งวูบลงอย่างรวดเร็ว
อีกเหตุผลของการขายทิ้งหุ้นไทยอย่างดุเดือดนับเดือน คือการที่ต่างชาติซื้อสะสมหุ้นไทยรอบนี้ตั้งแต่เงินบาทยังอยู่ในอัตราแลกเปลี่ยนที่ราว 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ฉะนั้นเมื่อเกิดวิกฤตซับไพร์มมาทำลายความมั่นใจ ณ อัตราแลกเปลี่ยนราว 32 บาทต่อเหรียญฯ ต่างชาติจึง“ขายอย่างไรก็กำไร” เพราะต่อให้ราคาหุ้นเท่าเดิมก็ยังได้กำไรค่าเงินนั่นเอง
จากรูปกราฟจะเห็นได้ชัดว่าเส้น SET Index กับเส้นค่าเงินบาทที่ถ่างออกห่างกันเรื่อยๆ มาตลอด กลับมาเปลี่ยนทิศหักเข้าหากันก็เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมอย่างชัดเจน เพราะวิกฤตซับไพร์มที่ทำให้เกิดการขายหุ้นทิ้งแล้วแลกเงินบาทกลับออกไปเป็นเงินดอลลาร์อย่างผิดปกติ
ผลกระทบของวิกฤตนี้ในไทยใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะไม่ได้มีแค่หุ้นตกร้อยจุดและค่าเงินบาทผันผวนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงโอกาสกู้ซื้อบ้านอาจจะยากขึ้น เพราะหลายฝ่ายโดยเฉพาะผู้บริหารหลายคนในธุรกิจบ้านคอนโดก็เริ่มมองกันแล้วว่าจากนี้และปีหน้าธนาคารไทยจะกลัว และหวงเงินที่จะปล่อยกู้ให้นายทุนไปสร้างหมู่บ้าน และก็ไม่ยอมใจดีปล่อยเงินให้ประชาชนกู้ไปซื้อบ้านหรือคอนโดง่ายๆ แบบ 2 ปีที่ผ่านมาอีกต่อไป
ลุกลามไปหนี้ชั้นดี
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและประธานสายงานวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ภัทร (PHATRA) ได้ชี้มุมใหม่ว่าเดิมทีตลาดมองปัญหาจำกัดอยู่ในการปล่อยกู้ประเภท Subprime โดยเชื่อกันว่าจะไม่ขยายไปสู่ภาคเศรษฐกิจอื่นๆ
แต่เมื่อบริษัทซึ่งปล่อยกู้ในอสังหาริมทรัพย์ระดับบนชื่อ Countrywide Financial ประกาศกำไรในไตรมาส 2 ลดลงถึง 33% จากความสูญเสียในหนี้ชั้นดี (Prime) ไม่ใช่ Subprime ก็เป็นสัญญาณแล้วว่าวิกฤตนี้ลุกลามมากและคงยาวนานกว่าที่คาดกันไว้ และคาดว่าจะกินเวลาเกินสิ้นปีนี้แน่นอน
แม้ปัญหา “ซับไพร์ม โลน” จะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้นักลงทุนตกใจเทขายหุ้น จนดัชนีตลาดหุ้นดิ่ง และบาทอ่อนค่าลง แต่อาจเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เพราะหากปัญหา “ซับไพร์ม” ยังไม่หยุด และการขาดดุลการค้าก็ยังเป็นปัญหาที่ตอกย้ำให้เห็นว่าอเมริกากำลังมีปัญหาฟองสบู่แตกอย่างที่ครุกแมนกล่าวไว้ เมื่อนั้น เงิน “ดอลลาร์” จะถูกเทขายดิ่งไม่หยุด และกลับผลักดันค่าบาทให้กลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอีกในระยะยาว เป็นฝันร้ายหลอนประเทศไทยอีกครั้ง และฝันร้ายนี้ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นลงเมื่อใด